นายธีธัช จึงกานต์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กลุ่มบริษัท JARTON Holdings (ที่ 2 จากขวา)
กล่าวว่า "ที่ผ่านมาการเข้าร่วมใช้งานของแบรนด์พันธมิตรได้รับผลตอบรับจากผู้ใช้งาน และผู้ประกอบการเป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่า มีอีกหลายแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย และทั่วโลกให้ความสนใจเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับ JARTON Home
ตลอดเวลาที่ผ่านมา "JARTON Home" ถือเป็นแอปพลิเคชันกลาง (IoT Platform) ที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดในอาเซียน และได้รับการสนับสนุนจาก "Depa" (ดีป้า) หรือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกับพันธมิตรจากทุกวงการ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบ IoT หรือ Smart Home ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด เป็นการลดช่องว่างทางเทคโนโลยี (Digital Divide) และขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ"
คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ที่ 3 จากขวา) กล่าวว่า "รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล โดยที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กำลังคน และระบบนิเวศดิจิทัล ควบคู่ไปกับการค้นหากลไกใหม่ เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดที่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศโดยภาพรวม"
แอปพลิเคชัน "JARTON Home" สามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน และอาคารได้อย่างครบวงจร รวมถึงอุปกรณ์ Smart Home ชั้นนำทั่วโลก สามารถใช้งานได้ทั้ง Mobile Application และ Web Application รองรับการสั่งงานผ่านคำสั่งเสียงทั้ง Google Assistant, Apple Siri, Amazon Alexa และสั่งงานผ่าน JARTON Smart Watch, Apple Watch, Apple Home Kit, Samsung SmartThings
ปัจจุบันมีแบรนด์พันธมิตรชั้นนำจากไทย และทั่วโลกให้ความสนใจเข้าร่วมศึกษาการใช้งานแอปฯ JARTON Home แล้วมากกว่า 50 แบรนด์ จากเป้าหมาย 100 แบรนด์ อาทิเช่น AIS, Anitech, COTTO, DATA, Delight, Eminent, Ener Saver, Euro, Fascino, GATA, Hatari, JARTON, JASON, Chaiyo Sprinkler, Divana, LAMPTAN, Lamptitude, Lesasha, Lucky Flame, Mazuma, Mogen, NANO, Panpuri, PASAYA, Safe-T-Cut, SANWA, Siam Steel, Somfy, Sparkle, Star-Aire, SVOA Robotics, Super Products, Tecno+, Toshino, Uni-Aire และ VC Fabric เป็นต้น
ที่มา: จาร์ตัน กรุ๊ป