นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WDC ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่งพื้นและผนังระดับพรีเมียม เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯ จะสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยการใช้กลยุทธ์การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้น ทั้งกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา นักออกแบบ และลูกค้าทั่วไป (End-user) โดยจะมุ่งเน้นขยายช่องทางการจัดจำหน่ายตลาดในประเทศ และเตรียมความพร้อมขยายตลาดต่างประเทศในอนาคตด้วย
สำหรับตลาดภายในประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลักอยู่ 3 ช่องทาง ได้แก่ การค้าส่ง การขายเข้าโครงการ และการค้าปลีก ซึ่งมีโชว์รูมสินค้าของบริษัทรวม 8 สาขา ได้แก่ สาขา Crystal Design Center (CDC) สาขานิมิตใหม่ สาขาหาดใหญ่ สาขาเชียงใหม่ สาขาภูเก็ต สาขาบางนา สาขาพัทยา และสาขาขอนแก่น ซึ่งในช่วงปลายปีนี้ บริษัทยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่จะเป็นรูปแบบแฟลกชิพสโตร์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเนื้อที่รวมประมาณ 1,300-1,400 ตารางเมตร
ล่าสุด สาขาจังหวัดภูเก็ต บริษัทได้เปิดโชว์รูม WDC บนทำเลใหม่ บนถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นไพร์มโลเกชั่น และมีขนาดพื้นที่โชว์รูมใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 5 เท่า ด้วยขนาดพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตร จากเดิมที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทใช้งบลงทุนไปกว่า 15 ล้านบาท เนื่องจากต้องการรองรับกับความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าในจังหวัดภูเก็ตและใกล้เคียง ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
โดยโชว์รูม WDC แห่งใหม่ของจังหวัดภูเก็ต ยังคงออกแบบและตกแต่ง ภายใต้ 3 DNA สำคัญของบริษัท ที่ประกอบด้วย นวัตกรรม (Innovation) ความสวยงามจากการออกแบบ (Design) และความคุ้มค่า (Value) หรือราคาที่เหมาะสม ด้วยการออกแบบโชว์รูมให้โชว์รูม ตอบสนองความต้องการใช้สินค้า และมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดี ในการเลือกซื้อสินค้ากลุ่มกระเบื้องและวัสดุตกแต่ง พื้นและผนัง ภายในโชว์รูมจะมีพื้นที่แสดงสินค้า ห้องจัดแสดงการใช้งานสินค้าจริง (Mock Up Room) เพื่อให้ลูกค้าเกิดแรงบันดาลใจ และสร้างจินตนาการในการนำเอาวัสดุไปใช้งานให้เหมาะสมกับความของต้องการของกลุ่มลูกค้า
นอกจากช่องทางการทำตลาดภายในประเทศแล้ว ปัจจุบันบริษัทฯ ยังส่งสินค้าออกไปทำตลาดในต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยในปีหน้าบริษัทฯโฟกัสการทำตลาดในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการส่งออกให้ได้มากขึ้น ซึ่งรูปแบบการทำตลาดจะเป็นการเข้าไปถือหุ้น หรือการเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตกระเบื้องและวัสดุตกแต่งพื้นและผนัง ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าตามมาตรฐานของประเทศในยุโรป ซึ่งเป็นผู้ผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศให้ได้มากขึ้นด้วย และเป็นฐานผลิตสินค้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนอื่น ๆ ด้วย
นายบัณฑิต กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า มีทิศทางการเติบโตเป็นบวก ซึ่งบริษัทฯ น่าจะทำยอดขายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตในอัตรา 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเห็นทิศทางเป็นบวกจากช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้ถึง 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว ภาพรวมตลาดมีอัตราการเติบโต 10-12% โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาพัฒนาโครงการอสังหาฯ กันเพิ่มมากขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง ยังคาดว่าจะมีการเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การทำงาน และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ
นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นและผนังในปีนี้ เริ่มกลับมาเติบโตมากขึ้น 30,000 ล้านบาท จากช่วงที่ผ่านมาตลาดหดตัวลงไปเหลือมูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม เป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตลาดอสังหาฯ เริ่มมีอัตราการเติบโต และผู้ประกอบการอสังหาฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการบริหารจัดการ ระบบการทำงานภายใน ให้มีประสิทธิภาพและมีความสมบูรณ์ ซึ่งปัจจุบันเตรียมความพร้อมในส่วนนี้ไว้แล้ว 70-80% นอกจากนี้ บริษัทฯ มีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้างผลกำไรสุทธิให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นจึงจะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป
ที่มา: โฟร์ฮันเดรท