ปัจจัยที่ทำให้ GIFT มีศักยภาพโดดเด่นและมีความน่าสนใจจนสามารถดึงดูดนักลงทุนสถาบันเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้แก่
- ทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงของ GIFT
ด้วยทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง นำโดย เฮียฮ้อ - คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ผนึกกำลังกับผู้บริหารรุ่นใหม่ อย่าง คุณโชติ เชษฐโชติศักดิ์ รวมถึงทีมนักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีวิสัยทัศน์ในการวางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็ว ชัดเจน และมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่โดดเด่น จึงสามารถขับเคลื่อนธุรกิจของ GIFT ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
- เทิร์นอะราวนด์แกร่ง สร้างผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดด
ด้านผลงาน GIFT ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เร็วๆ นี้ บริษัทฯ เปิดผลงานปี 2566 โดยได้สร้างรายได้กว่า 806 ล้าน เติบโตจากปีที่ผ่านมาถึง 577% ในขณะที่ ไตรมาส 1/2567 GIFT ได้เผยรายได้รวมที่ 557 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 8,210% จากปี 2566 และมีกำไร 37 ล้านบาท หรือคิดเป็น 593% จากไตรมาส 1/2566 หากไม่รวมรายการค่าใช้จ่าย One-time
- 3 กลุ่มธุรกิจหลักโตตามเทรนด์
GIFT ดำเนินธุรกิจ ภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจ Tech & Innovations กลุ่มธุรกิจ Food & Beverage และกลุ่มธุรกิจ Health & Beauty ซึ่งครอบคลุมไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่และสอดคล้องกับเทรนด์ที่น่าสนใจในโลกปัจจุบัน ทั้งยังมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ด้าน A Lot Tech แพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้า IT และ IoT ชั้นนำในไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Tech & Innovations เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูงและมาร์จินสูง ทั้งยังเดินหน้าขยายสู่ตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้านกลุ่มธุรกิจ Food & Beverage มีศักยภาพการเติบโตจากการขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวหลัก นอกจากนี้ยังขยายแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มธุรกิจ Health & Beauty บริษัทฯ ได้วางทิศทางการลงทุนในธุรกิจชะลอวัย และโรงพยาบาลหรือคลินิกเสริมความงาม ขณะนี้ อยู่ในระหว่างการเจรจา 1-2 ดีล โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท/ดีล โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า 3 กลุ่มธุรกิจหลักจะผลักดันการเติบโตของ GIFT อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หลังจากที่นักลงทุนสถาบันอย่าง ธนาคารกรุงเทพ และบริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เข้ามาลงทุนใน GIFT เชื่อว่าจะส่งผลดีให้กับบริษัทฯ ในหลายมิติ อาทิ
- สร้างความเชื่อมั่นและน่าเชื่อถือให้แก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้น เพราะนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ เมื่อจะเข้าลงทุนและเป็น Long-term Strategic Partner ต้องศึกษาและวิเคราะห์โดยละเอียด ที่สำคัญ ต้องมองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตระยะยาวของบริษัทนั้นๆ
- การซื้อวอร์แรนต์ เท่ากับว่าธนาคารกรุงเทพจะต้องใช้เงินเพื่อแปลงสภาพประมาณ 211 ล้านบาท ในขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ต้องใช้เงินจำนวน 48 ล้านบาท เพื่อแปลงสภาพ ซึ่งเม็ดเงินจำนวนนี้จะนำไปต่อยอดการเติบโตธุรกิจของ GIFT ตามแผนได้ทันที
- หากในอนาคต GIFT มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ก็มีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเป็น Strategic Shareholder
นอกจากกลุ่มเชษฐโชติศักดิ์และนักลงทุนสถาบันอย่าง ธนาคารกรุงเทพ และบริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ GIFT แล้ว ยังมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่อื่นๆ ซึ่งเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์และคร่ำหวอดในวงการธุรกิจมาอย่างยาวนานอีกด้วย
หลังเทิร์นอะราวนด์อย่างแข็งแกร่ง ถือได้ว่า GIFT เป็นหุ้นที่มีอนาคตไกล เติบโตได้อย่างโดดเด่นมาโดยตลอด ในอนาคต คาดว่า กิฟท์ อินฟินิท จะผสานศักยภาพกับ อาร์เอส กรุ๊ป ในการต่อยอดธุรกิจต่างๆ และเสริมความแข็งแกร่งให้เกิดการเติบโตในรูปแบบใหม่ๆ หลังจากนี้ ในอีกประมาณ 2-3 ปี กิฟท์ อินฟินิท จะเดินหน้าขยายการเติบโตให้แก่ธุรกิจเดิม พร้อมทำ M&A ใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมส่งมอบของขวัญเป็นการเติบโตที่ไม่สิ้นสุดให้แก่นักลงทุน
ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ กิฟท์ อินฟินิท ได้ทาง www.giftinfinite.co.th
ที่มา: กิฟท์ อินฟินิท